วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โปรแกรมความรัก


ช่างเทคนิค : ฮัลโหล สวัสดีครับ มีอะไรให้รับใช้ครับ

ลูกค้า : ดิฉันได้นั่งนึกดูแล้วคิดว่า โปรแกรมความรัก
นี่ก็น่าสนใจ ดีนะคะ คุณช่วยกรุณาแนะนำดิฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะลงโปรแกรมนี้ยังไง

ช่างเทคนิค : ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ

ลูกค้า : อืม... ไม่รู้เหมือนกันคะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไร
แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมคะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำยังไงบ้างคะ

ช่างเทคนิค : อันดับแรกเลยคุณต้องเปิดใจคุณก่อนครับ

ลูกค้า : ไม่มีปัญหาคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย
ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาในการติดตั้งไหมคะถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้

ช่างเทคนิค : ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับ ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่

ลูกค้า : เดี๋ยวขอดิฉันดูนิดนึงนะคะ อืม... ก็มีโปรแกรม
"
ความเจ็บปวดในอดีต"
"
การไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง",
"
ความริษยา",
"
ความขุ่นเคือง"
และก็ "โปรแกรมความโกรธ" ทั้งหมดที่เปิดก็มีเท่านี้คะ

ช่างเทคนิค : ไม่มีปัญหาครับ โปรแกรมความรักจะค่อยๆ
ลบความเจ็บปวดในอดีต ออกจากระบบปฏิบัติการครับ
มันอาจจะคงอยู่ในหน่วยความทรงจำ แต่ว่าจะไม่รบกวนการทำงานของ
โปรแกรมอื่นๆ ครับ ไม่ต้องกังวล

สำหรับโปรแกรมการไม่เห็นคุณค่าของตัวเองนั้นจะค่อยๆ หายไปเอง
เพราะ ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของโปรแกรมความรัก คือ การเห็นคุณค่าของตนเอง
ส่วนนี้จะค่อยๆ เข้ามาแทนที่อย่างช้าๆ จนการไม่เห็นคุณค่าตัวเองหมดไป

แต่ว่าคุณเองจะต้องปิดโปรแกรม
ความริษยา ความขุ่นเคือง และ ความโกรธลง
เพราะโปรแกรมพวกนี้จะขัดขวางไม่ให้โปรแกรมความรักสามารถติดตั้งได้
รบกวนช่วยปิดโปรแกรมพวกนี้ ก่อนได้ไหมครับ

ลูกค้า : บอกตามตรงเลยนะคะ
ดิฉันไม่รู้จริงๆ คะว่าจะปิดโปรแกรมพวกนี้ยังไง

ช่างเทคนิค : เข้าไปที่ Start Menu นะครับ
แล้วเรียกโปรแกรมการให้อภัยขึ้นมา ต้องเปิดโปรแกรมนี้เรื่อยๆ จนกว่า
ความริษยา,ความขุ่นเคือง และก็ความโกรธ จะถูกลบออกไปจนหมด

ลูกค้า : ได้ค่ะ..... เสร็จแล้วค่ะ
ตอนนี้โปรแกรมความรักเริ่มที่จะติดตั้งอัตโนมัติแล้วค่ะ
แต่เอ...นี่เป็นปกติของโปรแกรมใช่ไหมคะที่ติดตั้งด้วยตัวมันเอง

ช่างเทคนิค : ใช่ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่า
นี่เป็นเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น
คุณจะต้องติดต่อกับหัวใจดวงอื่นๆ
เพื่อที่จะได้ upgrade โปรแกรมความรักให้มี version ที่สูงขึ้น

ลูกค้า : อุ้ย.... มีข้อความผิดพลาดขึ้นที่หน้าจอ บอกว่า
โปรแกรมไม่สามารถติดต่อออก ไปสู่ภายนอกได้" ดิฉันควรทำยังไงดีคะ

ช่างเทคนิค : ไม่ต้องตกใจครับ
นั่นแสดงว่าตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งอยู่ภายในใจคุณเรียบร้อยแล้วครับ
แต่ที่โปรแกรมยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เพราะว่าคุณ
ต้องเริ่มรักตัวคุณเองก่อน จากนั้นคุณถึงจะรักคนอื่นได้

ลูกค้า : แล้วดิฉันควรจะทำยังไงคะ

ช่างเทคนิค : คุณช่วยเลื่อนการยอมรับตัวเองลงมาหน่อยได้ไหมครับ
จากนั้นให้คลิกที่ไฟล์
"
การยกโทษให้ตนเอง"
"
การรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง" และ "การยอมรับถึงความจำกัดในตัวคุณ"

ลูกค้า : ได้ค่ะ.... เสร็จแล้วค่ะ

ช่างเทคนิค : โอเคครับ
จากนั้นก็ก๊อปปี้ไฟล์พวกนี้เข้ามาในไดเร็กทอรี่ "ใจฉัน"
ระบบจะทำการจัดการไฟล์ที่มีปัญหา
รวมทั้งแก้ไขโปรแกรมต่างๆที่มีข้อผิดพลาด

แต่ว่าคุณจะต้องลบไฟล์
"
การพูดถึงตัวเองในแง่ลบ" และ "ไฟล์การตัดสินผู้อื่น"
ออกจากทุกๆไดเร็กทอรี่นะครับ
และอย่าลืมเข้าไปลบอีกที ใน Recycle Bin นะครับ
เพื่อให้มั่นใจว่าไฟล์พวกนี้ถูกลบจนหมด
และไม่มีทางกลับเข้ามาทำความยุ่งยากได้อีก

ลูกค้า : ทราบแล้วค่ะ เอ๊ะ!! มีไฟล์ใหม่ๆ เกิดขึ้นในหัวใจตั้งเยอะค่ะ
"
ยิ้ม " กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหน้าจอ
"
สันติสุข" และ "ความยินดี"
กำลังก๊อปปี้ตัวเองอยู่ทั่วไปภายในใจฉัน
นี่เป็นปกติหรือเปล่าคะ

ช่างเทคนิค : ครับ บางครั้งสำหรับบางคนอาจต้องใช้เวลาหน่อย
แต่ท้ายที่สุดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม
ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้ง
และเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอก ก่อนที่จะวางสายครับ
ความรักเป็นโปรแกรมให้เปล่า อย่าลืมแบ่งปันให้คนอื่นนะครับ

ความรักที่คุณให้ไปจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน และความรักนี้จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆ
และส่วนหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่ตัวคุณด้วย
และเมื่อนั้นความรักของคุณก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

ลูกค้า : ดิฉันให้สัญญาคะว่าจะแบ่งปันโปรแกรมความรักให้กับคนอื่นๆ
รบกวนขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้ไหมคะ

ช่างเทคนิค : เรียกผมว่า "ผู้ชันสูตรจิตใจ" หรือ
"
เราเป็น" (I AM) ก็ได้ครับ
คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะต้องไปตรวจสุขภาพจิตใจปีละครั้ง
เพื่อให้หัวใจเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง
แต่ผู้ที่สร้างใจ (ผมเอง) ขอแนะนำว่า ไม่จำเป็น
เพียงแต่คุณคอยหมั่นดูแลความรักให้คงอยู่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้ว

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บทกลอนสอนใจ

พ่อกับแม่ไม่มีเงินทองจะกองให้ จงใฝ่ใจพากเพียรเรียนหนังสือ

หากขาดความรู้เป็นเครื่องมือ เพื่อยึดถือไว้ใช้จนวันตาย

พ่อกับแม่มีแต่จะแก่เฒ่า จะเลี้ยงเจ้าเรื่อยไปนั้นอย่าหมาย

ใช้วิชาความรู้ไว้เลี้ยงกาย ลูกสบายแม่กับพ่อก็ชื่นใจ

อย่านอนตื่นสาย

อย่าอายทำกิน

อย่าหมิ่นเงินน้อย

อย่าคอยวาสนา

พ่อแก่แม่เฒ่า

พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน

จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววานของคืนวัน

ใจจริงไม่อยากจาก เพราะยังอยากเห็นลูกหลาน

แต่ชีพมิทนทาน ย่อมร้าวรานสลายไป

ขอเถิดถ้าสงสาร อย่ากล่าวขานให้ช้ำใจ

คนแก่ชะแลวัย คิดเผลอไผลเป็นแน่นอน

ไม่รักก็ไม่ว่า เพียงเมตตาช่วยอาทร

ให้กินและให้นอน คลายทุกข์ผ่อนพอสุขใจ

เมื่อยามเจ้าโกธรขึ้ง ให้นึกถึงเมื่อเยาว์วัย

ร้องไห้ยามป่วยไข้ ได้ใครเล่าเฝ้าปลอบโยน

เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่ แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน

หวังเพียงจะได้ยล เติบโตจนสง่างาม

ขอโทษถ้าทำผิด ขอให้คิดทุกทุกยาม

ใจแท้มีแต่ความ หวังติดตามช่วยอวยชัย

ต้นไม้ที่ใกล้ฝั่ง มีหรือหวังอยู่นานได้

วันหนึ่งคงล้มไป ทิ้งฝั่งไว้ให้วังเวง

พระนามบัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ::

King+Card4.jpg King+Card.jpg
จากบทสัมภาษณ์ของคุณฮิโรมิ อินาโยชิ นักออกแบบชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ออกแบบพระนามบัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ชุดที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่นี้ ในวารสาร ในวงการพิมพ์” (http://www.thethaiprinter.com/) กล่าวไว้ว่าการได้รับโอกาสเป็นผู้ออกแบบ
พระนามบัตรในหลวงนั้นมีที่มาจากการจัดนิทรรศการแสดงผลงานการออกแบบสัญลักษณ์และสี ในงานของสหประชาชาติ ณ
โรงแรมพลาซ่าแอทธินี เมื่อปี พ.ศ. 2545 และมีบุคคลในสำนักพระราชวังไปเห็นฝีมือ จึงให้ความสนใจและหารือถึงการสร้างสรรค์
ผลงานเพื่อถวายในหลวง เนื่องในวโกาสครบรอบ 75 พรรษา โดยสรุปสุดท้ายที่การออกแบบนามบัตรจำนวน 4 แบบ ดังนี้

แบบที่ 1 มีคอนเซ็ปต์มาจากตัว “A” ซึ่งเป็นพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯคือ อดุลยเดชและส่วนของจุดสีที่อยู่ภาย
ในแทนสีของแก้วนพรัตน์หรืออัญมณี 9 ประการ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์

แบบที่ 2 มีคอนเซ็ปต์มาจากการพนมมือไหว้ของคนไทย อันเป็นเอกลักษณ์ที่สื่อได้ถึงความเป็นคนไทย ขณะเดียวกัน ก็มีจุดสีของ
แก้วนพรัตน์รายล้อมอยู่ภายใน สื่อถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ของไทย

แบบที่ 3 มีคอนเซ็ปต์มาจากเครื่องดนตรีคือแซกโซโฟน ซึ่งในหลวงทรงโปรดเป็นพิเศษและมีจุดสีของแก้วนพรัตน์แสดงเอกลักษณ์
ของพระ มหากษัตริย์อีกเช่นกัน

แบบที่ 4 มีคอนเซ็ปต์มาจากพระนาม ภูมิพล ซึ่งเมื่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษจะขึ้นต้นด้วยตัว “B” แล้วออกแบบรูปร่างทำเป็นปีก
พญาครุฑ ภายในบรรจุจุดสีของแก้วนพรัตน์แสดงเอกลักษณ์พระมหากษัตริย์ เพื่อให้เป็นในแนวทางเดียวกันหมด

เป็นที่น่าสังเกตุว่า การออกแบบพระนามบัตรจะเน้นภาพสัญลักษณ์มากกว่าการสื่อความหมายด้วยภาษาของตัวอักษร ดังที่ปรากฎใน
นามบัตรทั่วไป โดยที่คุณฮิโรมิ อธิบายว่า จริง ๆ แล้วการออกแบบนามบัตรทั่วไปส่วนใหญ่ไม่ถูกต้อง ถ้าพูดถึงระดับนานานาชาติ จะนิยม
ทำสัญลักษณ์มากกว่าใช้ภาษาของตัวอักษร

นามบัตรที่ดีจะไม่ นิยมพิมพ์ชื่อตัวเองหรือชื่อบุคคลขนาดใหญ่ ตัวหนังสือจะออกแบบเพียงให้ดูเป็นมันขึ้นมาและสื่อภาษาเล็กน้อยเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนามบัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็คงไม่จำเป็นต้องเน้นชื่อ และไม่จำเป็นต้องใส่ที่อยู่หรือเบอร์โทรศัพท์ สื่อ
เพียงแค่เป็นพระมหากษัตริย์ของไทยก็เพียงพอ

คุณฮิโรมิ กล่าวว่า จริง ๆ แล้วการออกแบบสัญลักษณ์ไม่เหมือนกับภาพวาดทั่วไป ที่มองเห็นของจริงแล้ววาดภาพเหมือนออกมา แต่งาน
ออกแบบของตนเองไม่ได้มองภาพจริงวาดภาพเหมือน แต่เป็นการใช้จิตนาการนึกภาพออกมาเป็นสัญญลักษณ์แทนตัวบุคคล

เมื่อถาม ว่า ความคิดขณะออกแบบตั้งใจเพื่อให้ในหลวงใช้พระราชทานแก่บุคคลอื่นด้วยหรือไม่ คุณฮิโรมิหัวเราะก่อนตอบว่า
ก็เห็นพระองค์ท่านมีการพระราชทานเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการมีรับสั่งให้พิมพ์เพิ่มด้วย โดยใช้โรงพิมพ์ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ดำเนินการ
แต่พระนามบัตร ซึ่งเป็นการออกแบบสัญลักษณ์นี้เป็นการใช้ส่วนพระองค์มากและไม่เป็นทางการ เพราะส่วนที่เป็นทางการในหลวงท่านก็
มีตราประจำรัชกาล หรือตราสัญลักษณ์เนื่องในวโรกาสต่าง ๆ อยู่แล้ว ความคิดขณะออกแบบจึงไม่ได้มุ่งให้เป็นงานเป็นการมากนัก

อย่างไรก็ ตาม ความคิดขณะออกแบบนั้น สิ่งที่คำนึงถึงอย่างมากคือเรื่องระบบการพิมพ์ ซึ่งจะต้องมีลูกเล่นให้แปลกตา, มีความหมายและ
ลูกเล่นที่ไม่ซ้ำแบบใคร หรือทำการพิมพ์ลอกเลียนแบบไม่ได้ง่าย ๆ
ระบบการพิมพ์จะค่อนข้าง พิถีพิถัน อย่างเช่น การใช้สีพิเศษ กระดาษก็จะต้องเป็นของ Arjo Wiggins Fine ซึ่งเป็นกระดาษของฝรั่งเศส
เครื่องพิมพ์ก็จะกำหนดให้ต้องใช้เครื่องพิมพ์โรแลนด์และไฮเดลเบิร์กเท่านั้น รวมทั้งอื่น ๆ ซึ่งจะมีการกำหนดรายละเอียดปลีกย่อยให้โรงพิมพ์
ดำเนินการทั้งหมดเลย รวมทั้งจะเข้าไปดูแลและควบคุมการพิมพ์งานด้วยตัวเองด้วยขั้นตอนการพิมพ์พระนามบัตรจะทำการพิมพ์สีพื้นก่อน
แล้วทำการพิมพ์ฟอยล์ตบท้าย โดยในส่วนจุดสีของนพรัตน์หรือสีอัญมณีทั้ง 9 เม็ด จ ะต้องพิมพ์ทั้งหมด 18 สี กล่าวคือ พิมพ์ครั้งแรกจำนวน
9 สีหรือ 1 รอบ และพิมพ์ 9 สีอีก 1 รอบทับอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเท่ากับว่า แต่ละสีจะมีการพิมพ์ 2 ครั้ง โดยกว่าจะได้งานออกมาดังที่ตั้งใจ ต้องทำ
การปรู๊ฟถึง 12 ครั้ง

สาเหตุที่ผม ยังไม่มีภรรยาเพราะว่า....

ผมสามารถเอ็นจอย xxx ในราคาที่คุ้ม ค่า
เที่ยวทุกอาทิตย์ = 2,000 x 4 = 8,000 บาท/เดือน

= 8000 x 12 = 96,000
บาท/ปี
เลือกได้ทุกรุ่น ทุกขนาด ใหม่ล่าสุดแกะกล่อง

ไม่มีข้อผูกพันใดๆ รับประกันคุณภาพและการบริการ


หาเมีย
ต้นทุนระหว่างจีบ = 100,000 up
ต้นทุนดาวน์ = 300,000 บาท up
ค่าที่ อยู่อาศัยให้ = 1,500,000 up
ค่าพาหนะ = 600,000 up
ค่าบำรุง รายเดือน = 50% ของเงินเดือน up
ไม่รวมค่าเสียเวลาและประสาทเสียจากการแทรกแซง
และการไร้คุณภาพเป็นพักๆของ ผลิตภัณฑ์


ซื้อแล้วห้ามเปลี่ยนคืน ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์อื่นร่วม

ผลิตภัณฑ์มีอายุยืนยาว แต่คุณภาพเสื่อมทันทีที่ซื้อ

ผลิตภัณฑ์อาจเป็นสินค้ามือสอง แต่จำหน่ายในราคาเต็ม

คุณไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ผลิตภัณฑ์

แต่ผลิตภัณฑ์มีสิทธิ์ครอบครองคุณ

และทุกสิ่งที่คุณ เป็นเจ้าของ

ผลิตภัณฑ์เกิดแตกหน่อ ร ายได้ข้างต้นที่ว่ามาทั้งหมด

ต้องหักออกอีก 30% ของรายได้
...

'
ภรย ตา มา ปรมา ทุกขา ' การมีภรรยา มีทุกข์อย่าง ยิ่ง


มีเมีย เหมือนมือถือ ........เป็นเหมือนสื่อคอย ติด ตา
มีเมีย เหมือนมียาม .............คอยสอบถามยุ่มย่ามใจ

มี เมีย เหมือนมีบ้าน ..............อยู่นานนานย่อมเบื่อได้

มีเมีย เหมือน มอไซค์ ...........ซิ่งเร็วไปอาจเสี่ยง ตา
มีเมีย เหมือน มีรถ ...................ราคาหดเวลาขาย

มีเมีย เหมือนผีพราย ............. หากร่างกายไม่แต่งเติม
มีเมีย เหมือนม้าห้อ ..................ควบไม่รอยามฮึก เหิม

มีเมีย เหมือนบัตรเสริม .........ต้องคอยเติมเงินเรื่อยไป

มี เมีย เหมือนปีศาจ ...............ยามอาละวาดน่าตกใจ

มีเมีย เหมือนมี ไห................ปลาร้า....ใส่หลายร้อยปี

มีเมีย เหมือนมี คอมพ์ .........ต้องคอยซ่อมบ่อยเหลือที่

มีเมีย เหมือนปลา กระดี่ .............ได้น้ำดีก็จากไป

มีเมีย เหมือนดั่งเสือ ................ ขย้ำเหยื่อจะเหลือไร

มีเมีย เหมือนกรรไกร........ ตัดทีไรขาดทุกที

มี เมีย ชอบจ่ายดะ ......................ซื้อไม่ละ..นะคุณพี่

มีเมีย ชอบ เซ้าซี้ ........................บ่นทุกทีที่เจอกัน

มีเมีย ละเหี่ย ใจ................ แล้วทำไมชอบมีกัน



ปล. วันใดขาดผู้หญิงแล้วผู้ชายจะรู้สึก........

วิธีการโกงเครดิตการ์ดของคุณ



ห้องสมุดฯ เชียงใหม่

ห่างหายไปจากบล็อกตัวเองนานถึง 3 เดือน ถ้าจำไม่ผิด มีเหตุมาจากได้ไปทำงานกับพี่ ๆ ห้องสมุด เดินทางทุกวันเสาร์ อาทิตย์
งานที่ไปทำก็ที่ห้องสมุดประชาชนเชียงใหม่ และอุบลราชธานี เด๊อ,,,,เจ๊า
เท่าที่ทราบ ห้องสมุดทั้งสองแห่ง เป็นโครงการนำร่อง ของ Knowledge Centre (KC) เป็นเจ้าของโครงการ แต่อยู่ภายในหน่วยงาน OKMD (Organisation of Knowledge Management & Development) ชื่อภาษาไทยว่า สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (motto คือ กระตุกต่อมคิด) www.okmd.or.th สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี
โครงการ KC หรือความรู้กินได้เนี่ย อยากทำห้องสมุดให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้น หรืออยากให้มันดูคล้าย ๆ ของ TCDC = www.tcdc.or.th
ห้องสมุดทั้งสองแห่งคาดว่าจะเปิดให้บริการรูปโฉมใหม่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปีหน้า หากโครงการทั้งสองแห่งเข้าตาบรรดาห้องสมุดประชาชนทั้งหลาย ประเทศชาติจะได้เห็นห้องสมุดประชาชนพัฒนาจริง ๆ ตามกระแสบ้านเรา (ฮิตเหลือเกินเรื่องห้องสมุดสมัยใหม่)

ห้องสมุดฯ เชียงใหม่จากมุมสูง สี่แยกแจ่งหัวริน อยู่บนถนนห้วยแก้ว เยื้องห้องสมุดเป็นกาดสวนแก้ว ซอยด้านข้างเข้าไปเดินวกวนหน่อยจะเป็น YMCA แล้วก็มีร้านกาแฟสดอร่อยสำหรับพวกเราชาวคณะ ชื่อร้าน B-Bloom ส่วนเยื้องหัวมุมก็เป็นคูเมืองจ้ะ



นี่คือห้องสมุดหน้าตาปัจจุบัน ไม่รู้ว่าโฉมใหม่จะเสร็จเมื่อไหร่ อยากเห็นเหมือนกัน หากได้ไปเยือนจะเอามาฝาก



ทางเข้า ชั้นบนทำเป็นห้องติดกระจก ต่างจากที่อุบลฯ (เปิดโล่ง)



ด้านล่าง ด้านหน้าที่เป็นห้องกระจกเป็นห้องสำหรับเด็กไว้ดูทีวี ซ้ายมือมุมหนังสือเด็ก ขวามือก็หนังสือทั่วไป ที่นั่งก็โต๊ะ เก้าอี้อย่างที่เห็นแหละค่ะ



พวกเรามาจัดทำรายการหนังสือตรวจสอบดูว่าใช้ได้แล้วยังคงอยู่กี่เล่มตามรายการที่เค้าให้มาหรือป่าว
ที่นี่ทำค่อนข้างยากเพราะชั้นหนังสือเตี้ย ต้องก้ม ๆ เงย ๆ ตลอดเวลา เล่นเอาป้า ๆ เวียนหัว ต้องนั่งกับพื้นแหละถึงจะไม่เป็นลม

กระดาษเหล่านี้คือบัญชีรายชื่อหนังสือที่คาดว่าจะมีในห้องสมุด จากที่เจ้าของโครงการแจ้งมาบอกว่ามี 26,000 เล่ม หาได้ก็ประมาณ 7,000 เล่ม แถมหนังสือที่พบ 7,000 นั้น เป็นหนังสือที่อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ไม่ตกรุ่น (ปี) หรือต่ำกว่าสิบปี มีประมาณ 4,000 เล่ม (ที่เหลือไปไหน)


สามรูปสุดท้ายเป็นห้องสมุดสมัยก่อน ๆ ที่จะมีอาคาร (รูปด้านบน)
ห้องสมุดทั้งสองแห่งที่พบคือกลิ่น ที่เชียงใหม่ มีโรงอาหารอยู่ด้านหลัง ผัดกระเพราเมื่อไหร่ได้กลิ่น ไข่เจียว มีอยู่วันแม่ค้าคั่วพริกแห้ง สงสัยจะสามกะทะ พวกเรานั่งจาม ผลัดกันจาม กลิ่นนี้ไม่เลวร้ายเท่า กลิ่นหนูตาย พยายามให้คนที่ห้องสมุดช่วยหากลิ่น ก็หาไม่เจอ ม่ายรู้มันอยู่ไหน
ชีวิตวนเวียนอยู่กับห้องสมุด และชาวบรรณารักษ์ ก็ได้ความรู้มาไม่มากก็น้อย แต่เท่าที่รู้คือคนที่จะช่วยเราทำงานด้านนี้หากไม่จบบรรณารักษ์ สงสัยต้องเป็นอาชีพเลขาฯ แหละ เพราะต้องอาศัยความรู้เรื่องการพิมพ์เว้นวรรค ระหว่างคำ ประโยค และเครื่องหมาย การพิมพ์คำย่อทั้งหลาย ซึ่งตัวข้าน้อยเองก็วิชาชีพเลขาฯ และเหล่าเพื่อนพ้องก็เลขาฯ ด้วยเหมือนกัน
อีกอย่างที่เห็นคือคนที่เพิ่งทำงาน (มือใหม่) คนรุ่นเก่า ผ่านงานมาเยอะ เจ็บมาแยะ มีตัวข้าน้อยคนเดียวที่นอกวงการสุด ๆ หนังสือไม่ชอบอ่าน ห้องสมุดไม่ชอบเข้า ๆ จะเห็นคนชอบสั่ง คนชอบทำงาน (ป้า ๆ นั่งไม่มีลุกไปไหนเลยว่ะ โคตรนั่งทน) คนชอบรับปาก แต่ไม่ทำ (อีโก้สูงมั๊ง) ข้าน้อยก็อยากให้เสร็จเร็ว คิดแต่ทำยังให้คุ้มทุนทั้งเวลา คน ไม่ยืดเยื้อ แต่งานนี้ยากส์ เพราะเหตุมาจากต้นทางแล้ว เนื่องจากผู้จ้างไม่แม่นในจำนวน เวลาของบรรณารักษ์ที่จะไปช่วยทำงาน มีน้อย คนพื้นที่หาไม่ได้ (คนที่นี่ค่อนข้างจะรักความสบาย)
งานนี้ฝุ่น หยักไย่ จากหนังสือทำให้ภูมิแพ้กำเริบ ด้วย ต้องยกหนังสือ ขึ้น ลง บนชั้น เล่นเอายอกเหมือนกัน นี่หาเด็กมัธยมมาช่วยยกแล้วจ่ายค่าจ้างนะ เด็กหนุ่ม ๆ ยังบ่นเลย เลยให้ลองนับจำนวนหนังสือในชั้นให้ตรงกับรายการหนังสือ ปรากฎว่า เด็กนับ 80 เล่ม โดยใช้สองคนช่วยกันนับ ยังพลาด ต้องนับถึงสามครั้ง แล้วก็ยืนกำกับด้วย ถึงจะได้ตรงกัน เด็กเลยบอกว่ายกหนังสือง่ายกว่า (เอาออกจากชั้น เอาไปเก็บในชั้น เรียงตามเลขลำดับ ง่ายกว่าเยอะ) ให้ค่าแรงวันละ 200 บาทเลยนะ เห็นว่าเป็นงานหนัก และเปรอะเปื้อน


แค่นี้ก่อนนะเพื่อน จะไปหารูปของอุบลฯ มาลงบล็อกให้เพื่อนดู